การคิดบวก มีผลดีกับชีวิตอย่างไร

การที่เราเกิดมาทุกคนต้องมีทั้งความสุขและความทุกข์ เพียงแค่เราต้องผ่านทั้งความสุขและความทุกข์อย่างมีสติ เวลาที่มีความสุขเราก็มีสติรับรู้ถึงความสุขที่เข้ามาในชีวิต และ ถ้าความทุกข์เข้ามาเราก็แค่มีสติและรับรู้ว่าเรากำลังเผชิญกับความทุกข์ แต่การที่จะพูดให้ใครๆหลายคนนั้นทำตาม ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นวันนี้เราเลยมีแค่คำแนะนำ ที่จะทำให้ใครหลายๆ คนผ่านความทุกข์ไปได้ นั้นก็คือการที่เราคิดบวก หรือ มองโลกในแง่ดี ซึ่งการที่เราคิดบวก หรือ มองโลกในแง่ดี มีข้อดีอย่างไร.. เราจะมาบอกถึงข้อดีที่จะทำให้ชีวิตคุณนั้นเปลี่ยนไป (ในทางที่ดี)

การคิดบวกจะทำให้ปัญหาหรือความทุกข์ที่เราเจอนั้นเบาลง เพราะว่าปัญหาทุกปัญหาหรือความทุกข์ที่เกิดจะอยู่กับเราไม่นานแล้วมันจะผ่านไป เพียงแค่คุณมองในแง่ดีว่า มันเป็นบทเรียนหนึ่งของชีวิตที่เราเจอ และพอเจอแล้วเราอาจจะยังไม่สามารถหาทางออกตอนนี้ได้ แต่สุดท้ายแล้วมันจะเข้ามาสอนอะไรเราไม่มากก็น้อย อย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้น คิดบวกว่าเรายังดีแค่ไหนที่มีสติ ตื่นรู้และรับรู้ถึงปัญหาและความทุกข์ที่เข้ามา ดีกว่าการที่เราไม่ได้มีชีวิตหรือหมดลมหายใจ เหมือนกับคำที่เค้าบอกว่า อะไรเกิดขึ้นแล้วดีเสมอ และวันหนึ่งที่เราผ่านไปได้แล้วเราก็จะมองว่ามันเป็นเพียงเล็กน้อยจริงๆและขอบคุณที่ทำให้ในอนาคตเราจะไม่เจอกับปัญหาแบบนี้อีก 

นอกจากการคิดบวกจะช่วยทำให้เรามองปัญหาเบาลงแล้ว การคิดบวกคิดการให้กำลังใจตัวเองได้ดีที่สุด เพราะถึงแม้จะมีสักร้อยคนหรือพันคนมาบอกให้คุณมีกำลังใจ แต่ตัวคุณเองหากำลังใจนั้นไม่เจอ ก็เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นการคิดในแง่ดี หรือ มองในแง่บวก นั้นเป็นการสะกดจิตให้เรานั้นเข้มแข็ง มีพลัง และรวมไปถึงมีกำลังใจใน นั้นเอง

และในทางกลับกัน การที่เราคิดในแง่บวกจะมีแรงดึงดูดโลกที่จะพาคุณไปเจอไปพบแต่สิ่งๆ ดี นั้น เพราะฉะนั้นการที่เราเจอความทุกข์ก็คือเรื่องปกติของมนุษย์ และในทางกลับกันการมีความสุขก็คือเรื่องธรรมดาเหมือนกัน คุณจงมองทุกอย่างให้เป็นเรื่องที่ดีหรือมองในแง่ดี กับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายและมันจะทำเรามีความสุขสงบจากข้างในจริงๆ และการที่เราตื่นรู้ทั้งทุกข์และสุข จะทำเรามีสติและใจที่นิ่งนั้นเอง เพราะฉะนั้นจะมองโลกในแง่ร้ายไปทำไมกันละ

 

สนับสนุนโดย.   เซ็กซี่ บาคาร่า ทดลองเล่น

ปัญหาการตั้งครรภ์ของวัยรุ่น

            วัยรุ่นไทยในปัจจุบันกำลังพบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่อายุยังน้อย  และจากการมีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่อายุยังน้อยนี่เองส่งผลให้หลายๆครั้งที่วัยรุ่นเหล่านั้นพบปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร  บางครั้งปัญหาต่อเนื่องมาก็คือจะพบว่าเมื่อตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่พร้อมวัยรุ่นเหล่านั้นก็จะไปทำแท้ง หรือถ้าหากไม่ทำแท้งการจะปล่อยให้คลอดออกมาแต่ก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการเลี้ยงดูเด็กเนื่องจากว่าพ่อแม่เป็นวัยรุ่นยังไม่พร้อมที่จะเลี้ยงดูบุตรของตนเองส่งผลให้ต้องส่งตัวเด็กเหล่านั้นไปให้พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายเลี้ยงแทน

          สิ่งที่ตามมานั่นก็คือเด็กที่เกิดมาท่ามกลางที่พ่อแม่ไม่พร้อมนั้นจะทำให้เด็กขาดความอบอุ่น  ลืมแม้แต่บางครั้งก็จะมีปัญหาที่หญิงสาวจะต้องกลายมาเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว  อย่างเช่น ดาราสาวคนหนึ่งที่กำลังโด่งดังในขณะนี้ เกี่ยวกับชีวิตของเธอ นั้นก็คือ  ซาร่า คาซิงกินี  ที่ตอนนี้เธอกำลังเป็นข่าวโด่งดัง  โดยในครั้งแรกที่เธอเป็นข่าวเกี่ยวกับการแย่งสิทธิ์การดูแลบุตรชาย ระหว่างเธอกับ ไมส์ พิรัชย์ 

          สำหรับเธอกับไมส์ พิรัช ก็เป็นตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่นแล้วมีเพศสัมพันธ์กัน สุดท้ายก็ไปด้วยกันไม่ได้ แต่พวกเขาเลือกที่จะเก็บเด็กเอาไว้  และแน่นอนว่าเมื่อทั้งพ่อและแม่ยังเป็นเด็กจึงทำให้ไปกันไม่รอด ต้องเลิกกันและเด็กก็ต้องอยู่กับแม่ ขาดพ่อดูแล แต่โชคยังดีที่ฝ่ายชาย แม้จะเป็นวัยรุ่นแต่ก็มีงานทำมีเงินเยอะ ทำให้เขายังคงส่งเงินให้กับลูกชายของเขา 

        ต่อมา ซาร่า ก็มีลูกอีกคนทั้งงที่เธอยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งฝ่ายชายอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้นเอง ปัจจุบันเธอคลอดลูกสาวออกมาแล้ว แต่ฝ่ายชายกลับไม่ยอมรับเด็กเป็นลุกของตัวเอง และปล่อยให้ฝ่ายหญิงเลี้ยงลูกคนเดียว และถึงแม้ฝ่ายชายเองจะมีเงินมีฐานะดี แต่ด้วยความที่เขาเองก็เป็นเด็ก สิ่งที่เขาปฎิเสธออกมาก็คือ เขาอายุน้อย เขายังไม่ต้องการที่จะมีลูก

        สุดท้ายฝ่ายหญิงก็ต้องหาเงินเลี้ยงลูกคนเดียว เพราะฝ่ายชายยืนยันว่าเลิกกันแล้ว และไม่ได้จะแต่งงานกัน ส่วนเรื่องเด็ก ไม่แน่ว่าฝ่ายชาย อาจจะต้องการตรวจ DNA ก่อนแล้วค่อยยอมรับหรือไม่ คงต้องมารอดูกัน

        และนี่คือ ตัวอย่างที่วัยรุ่น มีเพศสัมพันธ์เร็วจนเกินไปแล้วยังไม่คุมกำเนิดให้ดี ทำให้สุดท้าย ปัญหาก็ตกอยู่ที่เด็กตาดำๆทั้งสองคนนั่นเอง ถึงแม้ว่าทั้งเขาและเธอเป็นดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็ไม่สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ให้ได้ดี ซึ่งเรื่องนี้วัยรุ่นควรเอามาเป็นบทเรียนและไม่ควรทำตาม

 

สนับสนุนโดย.   ทางเข้า ufabet ภาษาไทย

การใช้ชีวิตแบบ New Normal สังคมของค้างคาวที่เปลี่ยนไป 

       หลังจากที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเข้ามาทั่วโลกก็มีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองซึ่งสถานการณ์แบบนี้เราเรียกว่า New Normal สำหรับมนุษย์โลกแล้วการสวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรคการยืนเว้นห่างกันหรือนั่งเว้นระยะห่างกันก็เป็นสิ่งที่ตอนนี้ทั่วโลกกำลังทำกันเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าไปหากัน

        อย่างไรก็ตามสังคม New Normal นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับมนุษย์เพียงเท่านั้นแต่ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์พบว่าสังคมของค้างคาวแวมไพร์เองก็ใช้การดำเนินชีวิตแบบ New Normal แล้วเช่นเดียวกัน  โดยปกติเรามักจะเห็นว่าครั้งคราวนั้นจะอยู่รวมกันเป็นฝูงซึ่งก็หาใครเคยเข้าไปเที่ยวที่มีถ้ำค้างคาวหรือค้างคาวที่เกาะอยู่ตามต้นไม้จะเห็นว่าพวกมันไปอยู่รวมกันอย่างหนาแน่นมากเลยทีเดียว

               แต่ในปัจจุบันนี้ในยุคที่มีไวรัสระบาดกับพบว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตของค้างคาวก็เปลี่ยนไปเหมือนกับมนุษย์เช่นเดียวกันด้วยว่าวิทยาศาสตร์นั้นได้มีการไปกับครั้งคราวแวมไพร์มาเพื่อศึกษาและทดลองถึงพฤติกรรมของพวกมัน   โดยนักวิทยาศาสตร์ได้จับครั้งทางมาทั้งหมด 31 ตัวด้วยกันแบ่งกลุ่มเป็น 15 ตัวนั้นได้มีการฉีดแบคทีเรียเข้าไปในร่างกายของค้างคาวเหล่านั้นส่วนอีก 16 ตัวนั้นปล่อยให้เป็นอิสระไม่ได้มีการฉีดเชื้อแบคทีเรียเข้าไป  

              และหลังจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็นำค้างคาวทั้ง 31 ตัวนั้นทำการติดเซ็นเซอร์ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตรวจจับว่าพวกมันนั้นไปอยู่ที่ไหนหลังจากนั้นก็ปล่อยทั้งข้าวทั้ง 31 ตัวให้มันไปใช้ชีวิตตามปกติ  ปรากฏว่าเมื่อนักวิทยาศาสตร์มีการตรวจสอบสถานที่อยู่ของพวกค้างคาวทั้ง 31 ตัวนั้นพบว่าเมื่อปล่อยมันออกไปแล้วมันก็กลับไปอยู่ในโพรงไม้ของพวกมันเหมือนเดิมเพียงแต่ว่าพวกมันนั้น  มีการเว้นระยะห่างกันไม่อยู่ติดกันเหมือนก่อนหน้าที่จะถูกจับตัวมา

       ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าครั้งคราวเองก็มีการปรับตัวเช่นเดียวกันเมื่อมันมีความรู้สึกว่าเพื่อนของมันในกลุ่มนั้นมีเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียอยู่ในร่างกายมันก็พยายามตีตัวออกห่างใช้ชีวิตแบบเว้นระยะห่างกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากเพื่อนๆนั่นเองดังนั้นอาจจะบอกได้ว่าในสังคมของค้างคาวแวมไพร์เองก็ไม่ได้ต่างจากสังคมของมนุษย์ที่ต้องเว้นระยะห่างกันในช่วงเวลานี้เรียกว่าการใช้  ใช้ชีวิตในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นคนหรือว่าสังคมศาสตร์ก็ตามแต่ต้องมีการใช้ชีวิตแบบ New Normal เป็นการเว้นพื้นที่ระหว่างกันเอาไว้เพื่อไม่ให้เชื้อโรคนั้นแพร่กระจายส่งถึงกันได้

       และการทำแบบนี้จะช่วยทำให้ลดความเสี่ยงที่จะสามารถติดโรคระหว่างกันได้ดียิ่งขึ้นทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องกลัวว่าเราจะติดเชื้อจากคนอื่นที่มีเชื้อไวรัสอยู่หรือถ้าเรามีเชื้อไวรัสอยู่เชื้อของเราก็จะไม่มีการแพร่กระจายไปสู่คนอื่นนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย.    Gclub ฟรี 100

ปัญหาความเหลื่อมล้ำภายในโรงเรียน

       หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าภายในโรงเรียนนั้นมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับเรื่องของการดูแลเด็กนักเรียนของคุณครูที่ต้องดูแลเด็กนักเรียนในห้องเรียนอย่างทั่วถึงแต่ปรากฏว่าบางโรงเรียนนั้นหรือบางห้องเรียนนั้นจะมีคุณครูบางคนที่มีการแสดงออกต่อเด็กนักเรียนนั้นไม่เท่าเทียมกันโดยคุณครูเหล่านี้มักจะได้รับของขวัญเป็นพิเศษจากผู้ปกครองของเด็กนักเรียน

เพื่อฝากให้ดูแลลูกหลานของตนเองเป็นพิเศษซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้รับของฝากของขวัญบ่อยๆการดูแลเด็กนักเรียนในชั้นเรียนย่อมไม่เท่าเทียมกันเพราะถ้าหากพ่อแม่ของเด็กนักเรียนคนไหนมีของมาฝากคุณครูบ่อยๆเด็กนักเรียนคนนั้นก็จะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคุณครูเป็นอย่างดีในขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองคนไหนไม่ได้สนใจที่จะซื้อของมาฝากคุณครูประจำชั้น

ก็จะทำให้ลูกหลานของตนเองนั้นไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือการดูแลจากคุณครูมากนักซึ่งแน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อเด็กนักเรียนโดยตรงเพราะเขาจะสามารถรับรู้ได้เลยว่าคุณครูนั้นให้ความสนใจคนในห้องเรียนนั้นไม่เท่าเทียมกันและสิ่งที่ตามมานั่นก็คือจะทำให้มีปัญหาต่อตัวเด็กนักเรียนและกับเพื่อนนั่นเอง

เพราะเด็กๆจะยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของพฤติกรรมของคุณครูที่จะทำแบบนี้และจะทำให้เด็กนั้นเกิดการทะเลาะกันเพราะเกิดความอิจฉาริษยากันดังนั้นปัญหาต่างๆเหล่านี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นการที่ผู้ปกครองนั้นต้องการที่ให้คุณครูนั้นเอาใจใส่ลูกหลานของตนเองก็สามารถฝากฝังดูแลเป็นพิเศษได้

แต่ไม่ควรที่จะมีการติดสินบนให้กับคุณครูเป็นกรณีพิเศษเพราะจะทำให้เด็กนักเรียนนั้นได้รับการดูแลอย่างไม่เท่าเทียมกันและจะมีปัญหาตามมานั่นเองและตัวผู้ปกครองเองนั้นหากอยากจะให้ของขวัญกับคุณครูก็ควรจะมีการประชุมปรึกษาหารือกันในกลุ่มของผู้ปกครองและรวมเงินกันและซื้อเป็นของขวัญ

โดยส่งเป็นตัวแทนของผู้ปกครองส่งให้คุณครูจะเป็นการดีกว่าการที่จะให้ตัวต่อตัวเพราะคุณครูนั้นจะสามารถดูแลเด็กนักเรียนในชั้นได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันโดยที่ไม่ต้องมานั่งเกรงใจผู้ปกครองว่ารับของของผู้ปกครองมาแล้วจำเป็นต้องดูแลเด็กคนนี้เป็นพิเศษนั่นเองอย่างไรก็ตามการดูแลเด็กนักเรียนให้เท่าเทียมกันนั้น

จะส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็กนักเรียนได้เป็นอย่างดีพวกเขาจะได้ไม่รู้สึกว่าพวกเขานั้นถูกเลือกปฏิบัติและทำให้ไม่รู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนเพราะได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียมเหมือนกับเพื่อนนั่นเอง อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องการดูแลเด็กอย่างไม่เท่าเทียมกันนั้นส่วนใหญ่เรามักจะเห็นเฉพาะโรงเรียนเอกชน เพราะผู้ปกครองนั้นมีกำลังทรัพย์ในการติดสินบนครูมากกว่าโรงเรียนรัฐบาลนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย.    ufabet